SWIFT CODE คืออะไร
SWIFT CODE หรือ BIC (Bank Identifier Code) เป็นรหัสมาตรฐานสากล ที่ใช้ระบุธนาคารหรือสถาบันการเงิน เมื่อทำธุรกรรมระหว่างประเทศ รหัสนี้ช่วยให้ธนาคาร สามารถส่งเงินไปยังธนาคารอื่น ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไป SWIFT CODE ประกอบไปด้วย 8 ถึง 11 ตัวอักษรและตัวเลข ซึ่งเป็นการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคารปลายทาง
การอ่านค่า SWIFT CODE
- 4 ตัวแรก เป็นตัวอักษร : ระบุชื่อธนาคาร
- 2 ตัวถัดไป เป็นตัวอักษร : ระบุรหัสประเทศตามมาตรฐาน ISO
- 2 ตัวถัดมา อาจเป็นตัวอักษร หรือตัวเลข : ระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ หรือรหัสสถานที่เฉพาะ
- 3 ตัวสุดท้าย : ระบุรหัสสาขาของธนาคาร
ความสำคัญของ SWIFT CODE
- ความถูกต้องในการโอนเงินระหว่างประเทศ : SWIFT CODE มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับรอง ว่าเงินถูกโอนไปยังธนาคารที่ถูกต้อง ในประเทศที่เหมาะสม เนื่องจากรหัสนี้ ช่วยระบุธนาคารปลายทางอย่างชัดเจน จึงลดความเสี่ยงที่เงินจะถูกส่งผิดธนาคาร หรือผิดผู้รับ
- ความปลอดภัยและลดความเสี่ยงของการฉ้อโกง : การใช้ SWIFT CODE ช่วยให้การโอนเงินเป็นไปอย่างปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากทุกการทำธุรกรรม จะต้องผ่านการตรวจสอบ และการยืนยัน จากทั้งสองฝ่าย (ทั้งผู้ส่งและผู้รับ) ซึ่งช่วยป้องกันการฉ้อโกง และการสูญเสียทางการเงินได้
- การตรวจสอบและติดตามการทำธุรกรรม : SWIFT CODE ช่วยให้ธนาคารและลูกค้า สามารถตรวจสอบและติดตามการโอนเงิน ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหมายความว่า ทั้งสองฝ่ายสามารถยืนยันว่า เงินถูกส่งและได้รับอย่างถูกต้อง
- ความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการดำเนินการ : การใช้ SWIFT CODE ในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการดำเนินการ และโอนเงิน ทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศ เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อดีและข้อจำกัดของ SWIFT CODE
เมื่อเราได้ทำความรู้จักกับ SWIFT CODE กันไปแล้ว ก็ควรทราบถึงข้อดี และข้อจำกัดของ SWIFT CODE ด้วย ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้า หรือผู้ใช้บริการ เรียนรู้และเข้าใจในการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น โดย SWIFT CODE มีข้อดีและข้อจำกัด ดังต่อไปนี้
ข้อดีของ SWIFT CODE
- การระบุธนาคารอย่างชัดเจน : SWIFT CODE ช่วยให้สามารถระบุธนาคาร และสาขาของธนาคารได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ เพื่อความปลอดภัย และความถูกต้อง ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
- ความปลอดภัยและการป้องกันการฉ้อโกง : SWIFT CODE ใช้ระบบความปลอดภัยสูงในการส่งข้อมูล และโอนเงิน ช่วยลดความเสี่ยงของการฉ้อโกง และการปลอมแปลง
- มาตรฐานสากล : SWIFT CODE เป็นระบบที่ได้รับการยอมรับ และใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก ทำให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล
- การติดตามและการตรวจสอบ : ช่วยให้สามารถติดตาม และตรวจสอบการทำธุรกรรมได้ง่ายดาย ช่วยให้ทั้งผู้ส่งและผู้รับ สามารถตรวจสอบสถานะของการโอนเงิน
ข้อจำกัดของ SWIFT CODE
- ความซับซ้อนและความผิดพลาด : การใช้ SWIFT CODE ที่ผิดพลาด อาจทำให้การโอนเงินล่าช้า หรือเงินถูกส่งไปยังธนาคารที่ผิด ทำให้ต้องใช้เวลา และค่าใช้จ่ายในการแก้ไข
- ค่าธรรมเนียม : ธุรกรรมที่ใช้ SWIFT CODE อาจมีค่าธรรมเนียมสูง ทั้งจากธนาคารผู้ส่ง และธนาคารผู้รับ ซึ่งอาจทำให้ไม่เหมาะสำหรับการโอนจำนวนเงินเล็กน้อย
- ความล่าช้าในการดำเนินการ : บางครั้งการโอนเงินโดยใช้ SWIFT CODE อาจใช้เวลาหลายวัน ขึ้นอยู่กับธนาคารและประเทศที่เกี่ยวข้อง
- ความพร้อมใช้งาน : ไม่ทุกธนาคารทั่วโลก ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย SWIFT ซึ่งอาจทำให้บางธุรกรรม ไม่สามารถดำเนินการได้ หากธนาคารปลายทางไม่ใช่สมาชิกของเครือข่าย
IBAN คืออะไร
IBAN หรือ International Bank Account Number เป็นรหัสมาตรฐานสากล ที่ใช้ระบุบัญชีธนาคาร สำหรับการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อลดความผิดพลาดในการโอนเงิน ซึ่ง IBAN ประกอบด้วยอักขระตัวเลขและตัวอักษร ซึ่งรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเทศ, รหัสธนาคาร, และหมายเลขบัญชีของผู้รับเงิน โดยจำนวนตัวอักษรและตัวเลข ใน IBAN อาจแตกต่างกันไป ในแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไปจะมีความยาวระหว่าง 14 ถึง 34 ตัวอักษร.
การอ่านค่า IBAN
โดยทั่วไป IBAN จะประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้
- รหัสประเทศ (Country Code) : สองตัวอักษรแรกของ IBAN คือ รหัสประเทศตามมาตรฐาน ISO (เช่น DE สำหรับเยอรมนี, GB สำหรับสหราชอาณาจักร) และบ่งบอกถึงประเทศที่บัญชีธนาคารนั้นตั้งอยู่
- ตัวเลขควบคุม (Check Digits) : สองตัวถัดมาหลังรหัสประเทศ คือ ตัวเลขควบคุม ซึ่งใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของหมายเลข IBAN ป้องกันการป้อนข้อมูลผิดพลาด
- รหัสธนาคาร (Bank Code) : ต่อจากตัวเลขควบคุม จะเป็นรหัสธนาคาร ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษรหรือตัวเลข เพื่อระบุธนาคารที่บัญชีนั้นเป็นของ
- รหัสสาขา (Branch Code) : บางประเทศอาจจะมีรหัสสาขา ต่อจากรหัสธนาคาร ซึ่งระบุสาขาของธนาคารที่บัญชีนั้นเปิดอยู่ (อาจจะไม่ใช่ทุกประเทศที่ใช้ส่วนนี้)
- หมายเลขบัญชีธนาคาร (Account Number) : ส่วนที่เหลือของ IBAN คือหมายเลขบัญชีธนาคาร ซึ่งอาจมีทั้งตัวอักษรและตัวเลข โดยความยาวและรูปแบบ จะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ
ความสำคัญของ IBAN
- ลดความผิดพลาดในการโอนเงิน : ความสำคัญของ IBAN อยู่ที่การมีระบบการตรวจสอบความถูกต้อง ที่ฝังอยู่ภายในตัวเลข ซึ่งช่วยลดความผิดพลาด ที่เกิดจากการป้อนข้อมูลบัญชีผิด โดยเฉพาะในการโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เงินถูกโอนไปยังบัญชีที่ผิดพลาดได้ง่าย
- เพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินการโอนเงิน : ด้วยการใช้ IBAN การโอนเงินระหว่างประเทศ สามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น เนื่องจากระบบสามารถระบุ และตรวจสอบข้อมูลบัญชี ได้อย่างอัตโนมัติ ลดเวลาที่ธนาคารต้องใช้ในการตรวจสอบข้อมูลบัญชีผู้รับ
- เพิ่มความปลอดภัยและความโปร่งใส : การใช้ IBAN ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน เนื่องจากแต่ละบัญชีจะมีรหัสที่เฉพาะเจาะจง ทำให้ยากต่อการปลอมแปลง นอกจากนี้ยังช่วยให้การตรวจสอบและติดตามการโอนเงินเป็นไปอย่างโปร่งใส
- มาตรฐานสากลในการโอนเงินระหว่างประเทศ : IBAN เป็นมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วโลกสำหรับการระบุบัญชีธนาคารในการโอนเงินระหว่างประเทศ ทำให้ธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ เป็นไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบ หรือมาตรฐานที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งช่วยเสริมสร้างการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ให้เป็นไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ
ข้อดีและข้อจำกัดของ IBAN
เมื่อเราได้ทำความรู้จักกับ IBAN กันไปแล้ว ก็ควรทราบถึงข้อดี และข้อจำกัดของ IBAN เช่นกัน ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้า หรือผู้ใช้บริการ เรียนรู้และเข้าใจในการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น โดย IBAN มีข้อดีและข้อจำกัด ดังต่อไปนี้
ข้อดีของ IBAN
- ลดความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล : ด้วยโครงสร้างมาตรฐาน และระบบตรวจสอบตัวเลขอัตโนมัติ IBAN ช่วยลดความผิดพลาดในการป้อนหมายเลขบัญชี และทำให้การโอนเงินมีประสิทธิภาพ และถูกต้องมากขึ้น
- เพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินการ : การใช้ IBAN ช่วยให้การดำเนินการโอนเงินระหว่างประเทศ เป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากระบบ สามารถระบุและตรวจสอบข้อมูล ได้อย่างอัตโนมัติ
- มาตรฐานสากล : IBAN ถูกใช้ในหลายประเทศทั่วโลก เพื่อทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ทำให้เป็นระบบที่สามารถเข้าถึงได้กว้าง และยอมรับกันทั่วไป
- ความปลอดภัยและโปร่งใส : IBAN มีการออกแบบมาเพื่อ เพิ่มความปลอดภัยในการโอนเงิน และลดความเสี่ยงของการโอนเงินผิดพลาด ซึ่งช่วยให้ทั้งผู้ส่งและผู้รับ สามารถมั่นใจในความถูกต้องของการทำธุรกรรม
ข้อจำกัดของ IBAN
- ไม่ได้ใช้ทั่วโลก : แม้ว่า IBAN จะเป็นมาตรฐานในหลายประเทศ แต่ยังมีบางประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้ระบบนี้ ซึ่งอาจทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศบางรูปแบบ ยังคงยุ่งยาก
- ความยาวและความซับซ้อน : หมายเลข IBAN อาจยาวและซับซ้อน ซึ่งอาจทำให้ยากต่อการจดจำ หรือป้อนข้อมูลโดยไม่มีข้อผิดพลาด
- ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม : บางธนาคารอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการทำธุรกรรมที่ใช้ IBAN โดยเฉพาะธุรกรรมการโอนเงินต่างๆ ระหว่างประเทศ
- ความเข้าใจและการรับรู้ : ผู้ใช้บางรายอาจไม่เข้าใจความสำคัญ หรือวิธีการใช้งาน IBAN อย่างถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่ความสับสน หรือการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง
- การอัพเดตและการเปลี่ยนแปลงข้อมูล : หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับบัญชีธนาคาร ก็จำเป็นจะต้องอัพเดต IBAN ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาความล่าช้า ไม่ทันท่วงที หรือเกิดปัญหาในการโอนเงินได้
ความแตกต่างระหว่าง SWIFT CODE และ IBAN
ถึงแม้ว่า SWIFT CODE และ IBAN จะมีการทำงาน มีหน้าที่ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศเหมือนกัน แต่ทั้ง 2 ตัวนี้ ก็มีความแตกต่างกัน โดยความแตกต่างระหว่าง SWIFT CODE และ IBAN มีดังต่อไปนี้
วัตถุประสงค์และการใช้งาน
- SWIFT CODE ถูกใช้เพื่อระบุธนาคาร ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ใช้ในการส่งข้อความ และการโอนเงินระหว่างธนาคาร
- IBAN ใช้เพื่อระบุบัญชีของผู้รับเงิน ในการโอนเงินระหว่างประเทศ มุ่งเน้นที่การลดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูลบัญชี
โครงสร้างและรูปแบบ
- SWIFT CODE มีโครงสร้างประกอบด้วย 8 ถึง 11 ตัวอักษรและตัวเลข โดยระบุชื่อธนาคาร, ประเทศ, สถานที่, และบางครั้งก็ระบุรหัสสาขา
- IBAN มีความยาวและโครงสร้าง ที่แตกต่างกันไป ในแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไปจะประกอบด้วย รหัสประเทศ, ตัวเลขควบคุม, รหัสธนาคาร, และหมายเลขบัญชี
ความยาวและมาตรฐาน
- SWIFT CODE มีความยาวของรหัสคงที่ ไม่ว่าจะในประเทศใด
- IBAN มีความยาวของรหัสที่แตกต่างกันตามประเทศ โดยมีความยาวระหว่าง 14 ถึง 34 ตัวอักษร
การใช้งานตามภูมิศาสตร์
- SWIFT CODE มีการใช้งานกันทั่วโลก ในการระบุธนาคารสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ
- IBAN มีการใช้งานเฉพาะในแถบยุโรป และบางประเทศนอกยุโรปเท่านั้น จะไม่ได้มีการใช้งานกันทุกประเทศทั่วโลก
ความแม่นยำและความปลอดภัย
- SWIFT CODE ช่วยเพิ่มความถูกต้องแม่นยำ และความปลอดภัย ในการโอนเงินระหว่างประเทศ แต่ SWIFT CODE จะมุ่งเน้นไปที่การระบุธนาคาร
- IBAN ช่วยเพิ่มความถูกต้องแม่นยำ และความปลอดภัย ในการโอนเงินระหว่างประเทศ แต่ IBAN จะมุ่งเน้นไปที่การลดข้อผิดพลาด ในการป้อนข้อมูลบัญชี โดยใช้ตัวเลขในการควบคุม
การตรวจสอบข้อมูล
- SWIFT CODE จะมีการตรวจสอบที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการฉ้อโกง และความผิดพลาดในการโอนเงิน
- IBAN ออกแบบมา เพื่อลดความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล ด้วยระบบการตรวจสอบตัวเลขอัตโนมัติ
การเข้าถึง และความง่ายในการหาข้อมูล
- SWIFT CODE มักจะพบข้อมูลได้ง่าย สามารถพบได้ในเอกสารของธนาคาร หรือโดยการติดต่อธนาคารโดยตรง
- IBAN มักจะพบข้อมูลได้น้อย สามารถพบได้แค่ในใบคำสั่ง และบัญชีธนาคารของผู้ใช้เท่านั้น
สรุปความแตกต่างระหว่าง SWIFT CODE และ IBAN
จากข้อมูลที่ทุกท่านได้ศึกษากันมาแล้วข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่า SWIFT CODE หรือ Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication Code และ IBAN หรือ International Bank Account Number เป็นสองมาตรฐานที่ใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความแม่นยำ และความรวดเร็วในการโอนเงิน การใช้งานร่วมกันของ SWIFT CODE และ IBAN ในการโอนเงินระหว่างประเทศ จะช่วยให้การทำธุรกรรมนั้น มีความปลอดภัย และถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดย SWIFT CODE จะช่วยให้สามารถระบุธนาคารและสาขาที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ IBAN จะช่วยให้สามารถระบุบัญชีผู้รับเงินได้อย่างชัดเจน ทั้งสองระบบนี้จึงเป็นส่วนสำคัญ ในการส่งเสริมความราบรื่น และความสำเร็จในการโอนเงินระหว่างประเทศ นั่นเอง


